ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบ ต้องระวังการติดต่อกับคนรอบข้างหรือไม่

โรคไวรัสตับอักเสบมีหลายชนิด ผู้ป่วยหลายคนอาจจะสับสนว่าชนิดไหนที่จะต้องระวังเป็นพิเศษ      แม้ว่าก่อนหน้านี้มีการรณรงค์ให้ใช้ช้อนกลาง แต่จริงๆแล้วการรณรงค์นี้มีจุดประสงค์สำคัญในการป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดเอและอีเท่านั้น ไม่ได้ช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี และซี เพราะโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี จะมีการติดต่อได้ผ่านทางเลือดและสารคัดหลั่งของร่างกาย เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การใช้มีดโกนหนวดหรือแปรงสีฟันร่วมกัน และติดต่อทางพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสกับเลือดของผู้ป่วย เช่น การสัก การใช้เข็มร่วมกัน เป็นต้น ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบีสามารถที่จะใกล้ชิดกับคนรอบข้างได้ การพูดคุย จับมือ จูบกัน(โดยที่ไม่มีบาดแผลในปาก) การทานอาหารร่วมกันใช้ช้อนเดียวกัน การซักผ้า ไอจาม ใช้มือถือ ว่ายน้ำต่างๆ ล้วนไม่ทำให้ติดเชื้อ เพราะไวรัสตับอักเสบชนิดบี และชนิดซีจะติดต่อผ่านการทางเลือดและการแลกเปลี่ยนน้ำคัดหลั่ง     โดยการติดต่อในครอบครัวมักจะเกิดในช่วงของการคลอดลูกคือจากแม่สู่ลูกเพราะว่าลูกได้สัมผัสกับเลือดและน้ำคัดหลั่งของแม่ในขณะคลอดลูก แต่มักจะไม่เกิดการแพร่เชื้อจากพ่อสู่ลูกเพราะว่าไม่ได้สัมผัสเลือดกันแม้จะอยู่บ้านเดียวกันหรือสัมผัสกันอย่างใกล้ชิดก็จะมีโอกาสติดต่อได้น้อยมาก ขอแนะนำอาหารเสริมบำรุงผุ้เป็นไวรัสตับอักเสบ บี บทความเรื่องตับอื่นๆ ที่น่ารู้

admin

December 10, 2019

ตับสำคัญไฉน ในแพทย์แผนจีน

ตับคืออะไร มีหน้าที่อะไร ในทางแพทย์แผนจีน แม้ว่าจะเรียกอวัยวะนี้ว่าตับเหมือนกันในทางแพทย์ปัจจุบันและแพทย์แผนจีน แต่ว่าแพทย์แผนจีนมีการบอกรายละเอียดหน้าที่ความสำคัญการทำงานของตับที่แตกต่างออกไปในหลายๆด้าน ในแพทย์แผนปัจจุบันได้แบ่งแยกตับเป็นอวัยวะหนึ่งจะได้ทำแผนชินแล้วถือว่าเป็นการทำงานเชื่อมต่อแบบองค์รวมจึงถือว่าตับเป็นระบบของร่างกาย โดยแบ่งระบบของตับดังต่อไปนี้ 1.ระบบการขับถ่าย ตับทำหน้าที่ในการกระตุ้นระบบการย่อยและมีบทบาทสำคัญในการดูดซึมสารอาหารจากกระเพาะและม้ามโดยทำหน้าที่ในการสร้างน้ำดีซึ่งช่วยในการย่อยอาหารและปรับให้เลือดลมเดินสะดวก ทำให้รู้สึกอารมณ์ดี ผ่อนคลายจิตใจสดชื่นแจ่มใส เมื่อตับทำงานผิดปกติจะทำให้เกิดการแปรปรวนของระบบย่อยอาหารทำให้รู้สึกซึมเศร้าหดหู่กระสับกระส่ายอารมณ์ไม่ดีฉุนเฉียว เลือดไหลเวียนไม่สะดวก และฮอร์โมนแปรปรวน 2. ทำหน้าที่ด้านการกักเก็บเลือด กลับไปแหล่งสำคัญในการเก็บรักษาเลือดควบคุมปริมาณเลือดให้เพียงพอเพื่อให้กระจายเลือดไปตามอวัยวะส่วนต่างๆเมื่อร่างกายเคลื่อนไหว เพื่อให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ เหมือนกับทำงานผิดปกติก็จะทำให้ระบบเลือดผิดปกติตามไปด้วย ฉันในผู้หญิงก็จะมีภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติ มีเลือดออก เกิดจ้ำเลือด เป็นต้น 3. บำรุงเล็บกล้ามเนื้อเส้นเอ็น ตับทำหน้าที่ในการบำรุงเนื้อเยื่อต่างๆเช่นกล้ามเนื้อเส้นเอ็นพังผืดเล็บข้อต่อเพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ ดังนั้นเมื่อตับทำงานผิดปกติจะทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายผิดปกติตามไปด้วยเช่นเกิดอาการเกร็ง ชักกระตุก ชาตามแขนตามขา ตัวสั่นเป็นต้น 4. บำรุงดวงตา ตับช่วยในการบำรุงเลือดซึ่งส่งผลโดยตรงต่อดวงตาทำให้ดวงตาแข็งแรงการมองเห็นชัดเจน การเคลื่อนไหวของลูกตาเป็นปกติ ดังงนั้นถ้าตับมีปัญหาก็จะส่งผลแสดงออกมาทางดวงตาด้วยเช่นกัน เพราะในทางการแพทย์แผนจีนมีคำกล่าวไว้ว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของตับ วิธีการรักษาโรคตับทางแพทย์แผนจีน การรักษาทางแพทย์แผนจีนจะมีการวิเคราะห์วินิจฉัยโรคแบบองค์รวม โดยหลักการที่ว่าอวัยวะต่างๆทำงานเชื่อมต่อกัน มากกว่าที่จะแค่รักษาอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตตามธรรมชาติการแก้ที่ต้นเหตุจากสภาวะการใช้ชีวิตของผู้ป่วยแต่ละคน  เพราะสาเหตุของโรคตับส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการแก้ที่ต้นเหตุจึงต้องเข้าไปปรับพื้นฐานการใช้ชีวิตของผู้ป่วยแต่ละคนจึงสามารถช่วยให้ดีขึ้นได้ในระยะยาวและแก้ได้ที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง ในทางแพทย์แผนจีนสามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบีและโรคตับแข็งได้ ได้ทางแพทย์แผนจีนกล่าวไว้ว่าการเกิดปัญหาโรคตับอักเสบชนิดบีมีสาเหตุกระตุ้นจาก พิษร้อนชื้นโรคเข้าสู่ร่างกาย ในขณะที่ชี่หรือลมปราณในร่างกายไม่เพียงพอ และความร้อนชื้นที่สะสมในร่างกายเหล่านี้ก็จะถูกเปลี่ยนให้เกิดการอักเสบ เลือดลมคั่งค้างไม่ไหลเวียนทำให้อวัยวะต่างๆทำงานไม่สมดุลไม่ประสานสอดคล้องกันดีจนระบบการทำงานโดยรวมของอวัยวะต่างๆทั้งตับม้ามและไตแย่ลง การรักษาโรคตับในทางแพทย์แผนจีนมีหลายวิธีตัวอย่างเช่นการนวดกดจุดปวดเส้นลมปราณฝังเข็ม การทานยาสมุนไพร รวมไปถึงการปรับวิถีชีวิต เป็นต้น บทความเรื่องตับอื่นๆ ที่น่ารู้

admin

November 29, 2019

อันตราย ! มารู้จักกับโรคตับอักเสบแบบเฉียบพลัน

อันตราย! รู้จักโรคตับอักเสบรุนแรงแบบเฉียบพลัน  ในสมัยก่อนผู้ที่มีภาวะตับอักเสบรุนแรงแบบเฉียบพลันมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก แต่ในปัจจุบันที่วิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าขึ้น หากมีการพบแพทย์ที่ทันท่วงทีก็จะช่วยให้มีโอกาสรอดชีวิตสูงขึ้นมากค่ะ โรคตับอักเสบรุนแรงแบบเฉียบพลัน (Fulminant Hepatitis) คือโรคที่เซลล์ตับตายลงอย่างรวดเร็วในจำนวนมากในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้เกิดภาวะตับวาย ตับไม่ทำงาน และกระทบต่อการทำงานของอวัยวะอื่นๆตามมา  เมื่อตับไม่ทำงาน ร่างกายจะอยู่ในสภาวะเหมือนไม่มีตับ ซึ่งมีอัตราการตายที่สูงมาก เพราะร่างกายจะขาดกระบวนการขับสารพิษของเสียที่สำคัญไป และตับยังมีหน้าที่อีกมากมายที่สำคัญในร่างกาย  ภาวะนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การได้รับสารพิษสารเคมี การขาดออกซิเจน การทานยารักษาโรคบางชนิด การติดเชื้อ ไวรัส และอาจเกิดจากโรคไวรัสตับอักเสบชนิด เอ บี ซี ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยค่ะ อาการของผู้ที่มีภาวะตับอักเสบรุนแรงแบบเฉียบพลัน 1. ตัวเหลืองตาเหลือง หรืออาการดีซ่าน สามารถสังเกตได้ค่อนข้างง่าย 2. เลือดออกง่าย ผิวเป็นจ้ำเลือด เมื่อตับทำงานได้แย่ลง จะทำให้เกิดภาวะเลือดไม่แข็งตัว เลือดออกแล้วไหลไม่หยุด เลือดออกได้ง่าย ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ 3. ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ในผู้ที่ตับเกิดอาการอักเสบรุนแรง ร่างกายของผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันต่ำมาก ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ไวรัส แบคทีเรีย ต่างๆอาจเข้าสู่กระแสเลือดทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด เลือดเป็นพิษ และมีอันตรายอาจทำให้เสียชีวิตได้ 4. โรคไต […]

admin

November 29, 2019

ข้อระวังควรรู้ ก่อนไปปลูกถ่ายตับ

การปลูกถ่ายตับคืออะไร ? การปลูกถ่ายตับนั้น เป็นการรักษาตับที่ใช้กับตับที่มีความเสียหายมากเกินกว่าที่จะทำการรักษาวิธีได้อีกต่อไป โดยสภาวะที่จำเป็นต้องเปลี่ยนตับมักจะเป็นอาการของโรคตับในระยะสุดท้าย เช่น มะเร็งตับ ตับแข็ง ตับล้มเหลว เป็นต้น ตับที่จะปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยมาจากไหน ผู้บริจาคอวัยวะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยต้องการบริจาคให้ผู้ป่วยด้วยตัวเอง ญาติของผู้เสียชีวิตต้องการให้ผู้เสียชีวิตบริจาค ผู้บริจาคที่เสียชีวิตไปแล้ว เคยแจ้งความต้องการบริจาคในขณะที่มีชีวิตอยู่ การคัดเลือดผู้รับบริจาคปลูกถ่ายตับ มีหลักเกณฑ์การคัดตามความเร่งด่วนดังนี้ ผู้ที่มีปัญหาตับแข็งระยะสุดท้าย  ผู้ที่มีภาวะตับอักเสบรุนแรงแบบเฉียบพลันจนเกิดภาวะตับวาย  ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งตับ (ที่มีเซลล์มะเร็งไม่เกิน 3 ก้อนที่ขนาดเล็กกว่า 3 ซม. หรือก้อนใหญ่ก้อนเดียวขนาดไม่เกิน 5 ซม.) โดยในผู้ที่มีเซลล์มะเร็งหลายก้อนที่ขนาดใหญ่เกินไปหรือมีการลุกลามมากแล้ว การปลูกถ่ายตับมักไม่เกิดผลดีเท่าที่ควร  *ในกรณีของผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังหรือตับแข็ง แต่ยังมีตับส่วนที่ดีเกิน 20% จะยังไม่จำเป็นต้องได้รับการปลูกถ่ายตับ  ผลข้างเคียงจากการปลูกถ่ายตับ การปลูกถ่ายอวัยวะนี้ยังมีปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะความเข้ากันของอวัยวะในร่างกายใหม่ โดยการปลูกถ่ายจะมีเงื่อนไขหลายข้อที่ต้องพิจารณา เช่น ความเข้ากันของหมู่เลือดของผู้บริจาคและผู้รับบริจาค  และในการปลูกถ่ายผู้รับบริจาคจะต้องทานยากดภูมิต้านทานไว้อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดการต่อต้านอวัยวะใหม่ โดยในระหว่างที่ทานยากดภูมิ ผู้รับบริจาคจะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อต่างๆมากขึ้น และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงและโรคแทรกซ้อนตามมาได้หลายอย่างในช่วงนี้  การปลูกถ่ายตับในประเทศไทย ตับเป็นอวัยวะที่ขาดแคลนและหาผู้บริจาคปลูกถ่ายได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ เพราะในประเทศไทยยังมีการบริจาคอวัยวะที่น้อยมาก ในปี 2552 พบว่ามีการบริจาคประมาณ 100 ราย ในขณะที่มีความต้องการประมาณ […]

admin

November 29, 2019

ผู้เป็นพาหะโรคไวรัสตับอักเสบบี สามารถมีลูกได้หรือไม่

โรคไวรัสตับอักเสบชนิดบีนี้มีโอกาสติดต่อจากแม่สู่ลูกได้โดยตรงและมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ติดเชื้อในรูปแบบนี้ แต่ละคนจึงเข้าใจกันว่าผู้เป็นถ้าหาโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบีจะมีลูกไม่ได้มิฉะนั้นลูกจะติดเชื้อ

admin

November 22, 2019

รู้ไหม ? ท้องผูก ไม่ดีต่อตับอย่างไร

ระวังท้องผูก ! ทำให้ตับทำงานหนักขึ้น ปัญหาท้องผูกเกี่ยวข้องกับตับอย่างไร ตับทำหน้าที่หลักในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งจะต้องทำงานร่วมกับระบบการย่อยอาหารและระบบการกำจัดของเสียของร่างกาย โดยเฉพาะระบบการขับถ่าย เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไปแล้วจะดูดซึมสารอาหารผ่านทางกระเพาะและลำไส้ และในกระบวนการนี้จะเกิดของเสียสารพิษต่างๆที่ย่อยสลายไม่หมดส่งผ่านไปที่ตับเพื่อทำการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย  ในผู้ที่มีปัญหาท้องผูก สารพิษที่อ ยู่ในอุจจาระจะไม่ได้ถูกขับออกจากร่างกายออกไป เมื่อสะสมทิ้งไว้นานๆร่างกายจะมีการดูดซึมสารพิษบางส่วนผ่านผนังลำไส้กลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง ทำให้เป็นภาระเพิ่มในการกำจัดสารพิษของตับอีกครั้ง อีกทั้งเมื่อท้องผูกจะทำให้จุลินทรีย์ที่ไม่ดีและแบคทีเรียในลำไส้เพิ่มมากขึ้นจนเกิดสารพิษเยอะขึ้นอีกจึงทำให้ตับทำงานหนักขึ้น ผู้ป่วยโรคตับระวังอย่าปล่อยให้ท้องผูกบ่อยๆ ในขณะที่มีภาวะตับอักเสบหรือตับแข็งประสิทธิภาพในการทำงานของตับจะแย่ลงอยู่แล้วระบบการขับสารพิษของร่างกายจึงไม่ค่อยดีและยิ่งเราเพิ่มสารพิษด้วยการสะสมอุจจาระไว้ในลำไส้จนเกิดสารพิษต่างๆมากขึ้น แต่ก็จะรับภาระหนักขึ้นอีกและร่างกายอาจจะกำจัดสารพิษได้ไม่สมบูรณ์จนถึงขั้นหมดสติได้เลยค่ะ และเมื่อร่างกายมีสารพิษสูงจะทำให้ระบบการทำงานโดยรวมของร่างกายแย่ลงในหลายระบบ ทำให้รู้สึกสุขภาพแปรปรวนมากยิ่งขึ้น และยิ่งผู้ป่วยพยายามหายามากินรับประทานแก้ไขมากขึ้นก็จะยิ่งทำให้ตับรับภาระหนักมากขึ้นในการกำจัดของเสียจากยาเคมี จึงกลายเป็นวงจรที่ยิ่งกินยิ่งแย่ลงในระยะยาวได้ค่ะ ” มาถ่ายอุจจาระทุกวันกันเถอะค่ะ “ ผู้ป่วยโรคตับจึงควรให้ความสำคัญกับการขับถ่ายที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้การกำจัดสารพิษของร่างกายดีขึ้นและลดภาระของตับ ที่สำคัญคือควรขับถ่ายให้เป็นช่วงเวลาเวลาที่ดีที่สุดคือช่วงเช้า ด้วยแนะนำกินน้ำหลังตื่นนอนทันทีเพื่อไปกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่เกิ ดการบีบตัว หรือนวดท้องอย่างง่ายๆเพื่อกระตุ้นลำไส้  และอีกเทคนิคหนึ่งที่สำคัญคือพยายามหายใจเข้าลึกๆเพราะว่าปอดมีเส้นลมปราณที่เชื่อมอยู่กับลำไส้การหายใจที่ดีจะช่วยกระตุ้นไปถึงลำไส้ได้ค่ะ บทความเรื่องตับอื่นๆ ที่น่ารู้

admin

November 22, 2019

ล้างพิษตับง่ายๆ แค่นอนให้ถูกเวลา

อยากล้างพิษตับง่ายๆ ด้วยวิธีธรรมชาติควรนอนกี่โมงดี ? นอนกี่โมงดี? แพทย์แผนจีนมีเวลาการนอนที่ดีที่สุดที่จะช่วยบำรุงการขับสารพิษจากตับ โดยมาปรับการนอนตามนาฬิกาชีวภาพกันค่ะ ในทางแพทย์แผนจีนแล้ว ร่างกายของมนุษย์เรามีนาฬิกาชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบการทำงานต่างๆ ซึ่งแต่ละระบบมีเวลาการทำงานตามธรรมชาติที่เหมาะสม เราจึงควรใช้ชีวิตตามเวลาธรรมชาติ เพื่อให้ระบบเหล่านั้นทำงานได้ดีที่สุด โดยเฉพาะระบบการขับของของเสียสารพิษ จะเริ่มตั้งแต่เวลา 21.00น.เป็นต้นไป คนที่ต้องการบำรุงตับ และช่วยอวัยวะภายในในการกำจัดของเสียสารพิษต่างๆออกจากร่างกาย ต้องให้ความสำคัญกับช่วงเวลาดังนี้ค่ะ ช่วงเวลา 21.00-23.00น. เป็นช่วงล้างพิษในส่วนของน้ำเหลือง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ในช่วงนี้ควรเข้านอน หรืออย่างน้อยพักผ่อนให้จิตใจสงบผ่อนคลายให้มากที่สุด ช่วงเวลา 23.00-03.00น. **ควรนอนหลับแล้วในช่วงเวลานี้ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงสำคัญในการบำรุงตับ เป็นช่วงที่เส้นลมปราณตับและถุงน้ำดีทำงาน ตับจะขับของเสียสารพิษออกจากร่างกายได้ดีที่สุดถ้าช่วงนี้เรานอนหลับพักผ่อนอยู่  ช่วงเวลา 00.00-4.00น. ช่วงนี้ควรจะหลับสนิทและเข้าสู่ภาวะหลับลึก เป็นช่วงสำคัญที่กระดูกสันหลังจะสร้างเลือด เพื่อไปบำรุงทุกเซลล์ในร่างกาย ช่วงเวลา 05.00-07.00น. ช่วงเวลานี้เป็นช่วงสำคัญของลำไส้ใหญ่ จึงเป็นเวลาที่เหมาะกับการขับถ่ายอุจจาระ  ช่วงเวลา 07.00-09.00น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก ที่จะเริ่มดูดซึมสารอาหารไปใช้งานยามเช้า อาหารเช้าจึงสำคัญมาก เพราะร่างกายต้องการสารอาหารไปสร้างพลังงาน แทนที่จะดึงพลังงานเก่ามาใช้จนเกิดภาระกับตับ ช่วงเวลา 9.00-11.00น. ช่วงขับสารพิษของม้าม ควรหลีกเลี่ยงของเย็น เช่นไอศครีมหรือน้ำแข็ง ช่วงเวลา 11.00-13.00น. หัวใจทำงานมากในช่วงเวลานี้ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายรุนแรงมากเกินไป ช่วงเวลา […]

admin

November 22, 2019

เคล็ดลับหายใจแบบ ซุ่ยกง หลับสบาย บำรุงตับ

หายใจแบบ ซุ่ยกง หลับสบาย บำรุงตับ ซุ่ยกง คือเคล็ดลับการฝึกลมหายใจ เป็นท่าฝึกชี่กงในท่านอนสืบทอดมาจากประเทศจีนตั้งแต่โบราณ เพื่อทำหน้าที่บำรุงหยวนชี่หรือว่าลมปราณต้นกำเนิดของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงปราศจากโรคภัย โดยการสูดหายใจเข้าลึกๆประมาณ 25 ครั้งแล้วก็หมดลมหายใจเข้าออกไปพร้อมกับการตั้งสมาธิเพื่อให้ระบบร่างกายซ่อมแซมตัวเองฟื้นฟูได้เร็วขึ้นและมีสุขภาพแข็งแรง  นอกจากนั้นยังเป็นท่าที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคตับจะช่วยบำรุงระบบการทำงานของตับให้ตับแข็งแรงขึ้นไปพร้อมกับคุณภาพการนอนหลับดีขึ้นหลังๆหลับสบายขึ้นอีกด้วย ประโยชน์ของการฝึกลมหายใจแบบซุ่ยกง หลับง่ายหลับสบาย สุขภาพแข็งแรง ช่วยรักษาโรคตับอักเสบเรื้อรังบำรุงตับ  วิธีการฝึกการหายใจตอนนอนแบบ ซุ่ยกง นอนเหยียดยาวในท่านอนหงายในบริเวณด้านซ้ายของลำตัวให้วางเบาะที่สูงไว้ในระดับเดียวกับหมอนแล้วเอาข้อสอบไปวางไว้บนเบาะโดยให้มือทั้งสองข้างกุมอยู่บนท้องในตำแหน่งตับ แล้วลืมตามองขึ้นไปตรงๆด้านบนชั่วขณะหนึ่งโดยเคร่งจิตหรือเอาความคิดไปจดจ่อที่ระหว่างคิ้วแล้วหลับตาลงมาเล็กน้อย แล้วนึกถึงรูปทรงของตับ แล้วกระดกลิ้นไปแตะที่เพดานด้านบนของช่องปาก ต่อมาหายใจเข้าลึกๆและจินตนาการว่าอากาศได้ค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านจมูกเข้าสู่ร่างกายแล้วไปรวมกันที่บริเวณตับ และเมื่อหายใจออกก็จินตนาการว่าอากาศค่อยๆเคลื่อนออกมาจากตับแล้วผ่านออกทางช่องปาก แล้วเอาลิ้นมาแตะที่เพดานร่างของปากแทน ความถี่ในการหายใจ แนะนำหายใจเข้าออกลึกๆอย่างน้อย 25 รอบในการทำ 1 ครั้ง จุดสำคัญในการฝึกการหายใจตอนนอนแบบ ซุ่ยกง ขณะที่หายใจเข้าให้เอาลิ้นกระดกไปแตะเพดานบนและในทางตรงกันข้ามเมื่อหายใจออกให้เอาลิ้นลงมาแตะที่เพดานล่างของปากแทน  จินตนาการว่าเราหายใจเอาอากาศเข้าไปลึกถึงบริเวณตับ ในขณะหายใจเข้า การฝึกการหายใจก่อนนอนนี้นอกจากจะช่วยให้พื้นฐานร่างกายแข็งแรงแล้วยังจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายได้รับออกซิเจนที่เพียงพอ เพื่อนำไปซ่อมแซมตัวเองเวลานอนหลับอีกทั้งยังให้ระบบประสาทอัตโนมัติผ่อนคลายเตรียมเข้าสู่การหลับที่มีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นระบบซ่อมแซมร่างกายทำงานได้ดีขึ้นในขณะนอนหลับอีกด้วยค่ะ  บมความเรื่องตับน่ารู้

admin

November 15, 2019

จริงหรือไม่ รักษาโรคตับด้วยการพักผ่อนดียิ่งกว่ากินยา

การรักษาโรคตับด้วยการพักผ่อนดียิ่งกว่ากินยาจริงหรือไม่ ขึ้นชื่อว่ายาล้วนมีพิษอยู่บางส่วน และยิ่งในคนที่เป็นโรคตับ ตับมีหน้าที่หลักในการกรองสารพิษ ยิ่งเรากินยามากเท่าไหร่ใส่สารพิษเข้าไปในร่างกายมากเท่าไหร่ ตับก็ยิ่งทำงานหนักมากเท่านั้น ดังนั้นคนที่อยากบำรุงตับรักษาโรคตับที่รุมเร้า สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือการกลับมาดูแลตัวเองตามวิถีธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องง่ายๆที่หลายคนมักจะมองข้ามไปคือการพักผ่อนที่ดีค่ะ การนอนพักที่มีคุณภาพจะช่วยให้เลือดไหลเข้าไปในตับมากขึ้น มีการพิสูจน์วิจัยที่ชัดเจนว่าในขณะที่เรายืนอยู่กับนอนอยู่กับจะได้รับเลือดในปริมาณที่แตกต่างกันอย่างมากโดยขณะที่เรายืนอยู่ร่างกายจะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายโดยเฉพาะบริเวณมือและเท้า แต่ในขณะที่เรานอนลงเลือดจะไหลเข้าสู่ตับมากขึ้นโดยอยู่ที่ประมาณ 25 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว และเมื่อเลือดไหลไปที่ตับมากขึ้นเรื่อยๆก็จะนำสารอาหารและออกซิเจนไปบำรุงตับ และช่วยในการล้างของเสียสารพิษที่สะสมอยู่ออกโดยเฉพาะกรดแลคติกและสารพิษที่เกิดขึ้นจากกระบวนการในการย่อยสลายอาหารก็จะถูกขับล้างออกไปได้ดีขึ้นทำให้ตับแข็งแรงขึ้นและไม่ต้องทำงานหนั”ก “มาพักผ่อนทุกวันกันค่ะ” คนที่นอนดึกหรืออดนอนเป็นประจำ ตับจะทำงานหนักมาก วิธีบำรุงตับที่ดีที่สุดคือการพักผ่อน หากบางช่วงไม่สามารถพักผ่อนนอนหลับตอนกลางคืนที่มีคุณภาพได้แนะนำในช่วงระหว่างวันหาโอกาสงีบบ้างก็จะช่วยผ่อนคลายการทำงานของตับได้  ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ ในผู้ป่วยโรคตับโดยเฉพาะคนที่มีอาการตับอักเสบเฉียบพลันหรือมีกลุ่มโรคไวรัสตับอักเสบโดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบชนิดบี ควรให้ความสำคัญกับการพักผ่อนให้มากที่สุด มิฉะนั้นถ้าปล่อยให้ตับอักเสบเรื้อรังอาจจะทำให้เกิดโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับจะมาได้ค่ะ แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าการพักผ่อนจะสำคัญแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะนอนอย่างเดียวทั้งวันนะคะเพราะว่าการเคลื่อนไหวร่างกายที่เพียงพอการออกกำลังกายเบาๆในแต่ละวันก็มีความสำคัญในการกระตุ้นระบบอวัยวะในร่างกายให้ทำงานดีขึ้นด้วยค่ะ  บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

admin

November 15, 2019

เตือน! ความโกรธทำลายตับ

เตือนคนหัวร้อน ! ความโกรธทำลายตับได้ ผู้ที่มีอารมณ์แปรปรวนขึ้นๆลงๆมากจะทำให้ตับรับภาระหนักเกิดธาตุไฟในตับมากหรือเรียกง่ายๆว่าตับร้อนโดยเฉพาะอารมณ์หงุดหงิดอารมณ์โกรธ และอารมณ์เศร้า และในทางแพทย์แผนปัจจุบันได้พิสูจน์แล้วว่าในผู้ที่มีอารมณ์โกรธจะส่งผลให้มีภาวะความดันเลือดสูงขึ้นน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาเทติกถูกกระตุ้น ซึ่งระบบประสาทอัตโนมัตินี้จะทำให้หลอดเลือดหดตัว ร่างกายตึงเครียดเตรียมพร้อมในการต่อสู้ ฮอร์โมนต่างๆหลั่งออกมามากขึ้นเลือดไหลเข้าสู่ตับมากขึ้นจากจะต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อันตราย อยากมีตับแข็งแรง ต้องฝึกเป็นคนใจเย็น เราทำงานหนักมากเกินไปไหมเข้มงวดกับตัวเองยึดติดความสมบูรณ์แบบใจร้อนโกรธง่ายไหม? อารมณ์ต่างๆโดยเฉพาะอารมณ์โกรธและอารมณ์เศร้าล้วนส่งผลร้ายต่อตับ ในทางแพทย์แผนจีนจะถือว่าทำให้ตับร้อน ชี่หรือลมปราณติดแน่นขัด แล้วทำให้ตับทำงานแย่ลงจึงส่งผลต่อปัญหาสุขภาพมากมายหลายด้าน ดังนั้นถ้าอยากให้ตับแข็งแรงอย่าลืมฝึกปรับอารมณ์ให้เรามีความสุขตลอดเวลา โดนสิ่งต่างๆกระทบได้ยาก ปล่อยวางและมีความสุขกับสิ่งต่างๆได้ง่ายขึ้นก็จะช่วยให้ตับเราแข็งแรงขึ้นได้แน่นอนค่ะ บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

admin

November 15, 2019
1 4 5
สอบถาม