วิธีดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคตับแข็ง (Cirrhosis)

โรคตับแข็ง (Cirrhosis) เป็นภาวะของตับที่รับความเสียหายเป็นระยะเวลานานจนเกิดรอยแผลเป็นถาวร ซึ่งมีลักษณะเป็นพังผืดเกิดขึ้นที่บริเวณตับ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับลดลง โดยปัจจัยที่ส่งผลเกิดภาวะตับแข็งมีดังนี้

  • การดื่มแอลกอฮอล์เป็นระยะเวลานาน
  • การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซี และดี
  • รับประทานยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน
  • เกิดภาวะไขมันพอกตับ
  • ฯลฯ

โรคตับแข็งเป็นโรคอันตรายถึงชีวิต เพราะเมื่อไรก็ตามที่คุณได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคตับแข็งนั่นหมายความว่าคุณเป็นโรคตับระยะสุดท้าย ความเสียหายที่เกิดขึ้นในตับจะมีลักษณะเป็นแผลเป็นคล้ายพังผืด และถ้าหากไม่รีบทำการรักษาอย่างรวดเร็วผู้ป่วยโรคตับแข็งก็อาจจะมีอาการทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ผู้ป่วยก็จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งตับเพิ่มสูงมากขึ้น ซึ่งเมื่อเป็นโรคมะเร็งตับแล้วมีโอกาสที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิตสูงอย่างมาก

อาการของผู้ป่วยโรคตับแข็ง

  • น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่อง
  • มีผิวที่ช้ำและเลือดออกง่าย
  • อาการดีซ่าน (มีผิวเหลืองและตาขาว)
  • มีการบวมที่ขา เท้า และข้อเท้า
  • มีเลือดปนอยู่ในอุจจาระ
  • มีอาการสับสน มึนงง คิดยาก ความจำเสื่อม หรือบุคลิกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
  • ในผู้ชายจะสูญเสียความต้องการทางเพศ อัณฑะหดตัว และหน้าอกขยายขนาดใหญ่ขึ้น
  • ในผู้หญิงจะหมดประจำเดือนก่อนวัยอันควร

วิธีดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยโรคตับแข็ง

1. เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิต

ผู้ป่วยเป็นโรคตับแข็งบางส่วนมีการดำเนินชีวิตแบบผิดๆ ที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ดังนั้นถ้าเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตให้ดีขึ้น ก็จะลดความรุนแรงของโรคตับแข็งและลดภาวะการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น

  • งดสูบบุหรี่
  • งดดื่มแอลกอฮอล์
  • ปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามสุขอนามัยที่ดี เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อที่อาจจะส่งผลก่อให้เกิดโรคตับแข็ง
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
  • ลดอาหารที่มีรสจัด

2. เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์

เมื่อป่วยเป็นโรคตับแข็งผู้ป่วยส่วนมากจะได้รับสารอาหารและพลังงานที่ไม่เพียงพอต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายเกิดภาวะผิดปกติ เช่น ร่างกายอ่อนล้า ความแข็งแรงของร่างกายลดลง เป็นต้น ดังนั้น ผู้ป่วยโรคตับแข็งควรที่จะทานอาหารที่ดีและเหมาะสมแก่ตัวเอง เช่น

  • ผู้ป่วยโรคตับแข็งจะมีการบวมที่เท้า ขา ข้อเท้า การลดปริมาณเกลือในแต่ละวันจะช่วยลดอาการบวมเหล่านี้ เพราะเกลือเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการบวมในร่างกาย
  • ตับทำหน้าที่สะสมคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในรูปแบบของไกลโคเจน และไกลโคเจนเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย แต่เมื่อตับเกิดความเสียหายทำให้ไกลโคเจนมีปริมาณน้อยลง ทำให้มีพลังงานไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตส่งผลให้ร่างกายเกิดความอ่อนแอ ดังนั้น ผู้ป่วยโรคตับแข็งควรทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่มากขึ้น เช่น ข้าว แป้ง ถั่วเมล็ดแห้ง (ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ) น้ำตาลทราย ไข่ ฯลฯ
  • ทานอาหารพวกผัก และผลไม้ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายนั้นทำงานได้ปกติ

3. การปลูกถ่ายตับ

การป่วยเป็นโรคตับแข็งจะทำให้ผู้ป่วยมีแผลเป็นที่ตับไปตลอดชีวิต เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ความเสียหายนั้นรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้ความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิตนั้นเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การปลูกถ่ายตับเพื่อช่วยชีวิตถือว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุด แต่การปลูกถ่ายอวัยวะต้องใช้เวลา เพราะนอกจากต้องรอผู้บริจาคอวัยวะแล้ว ยังต้องตรวจสอบว่าอวัยวะที่ได้บริจาคมานั้นเหมาะกับร่างกายผู้ป่วยหรือไม่ ถ้าหากอวัยวะไม่เหมาะสมก็ไม่สามารถปลูกถ่ายอวัยวะได้ เพราะถ้าทำการปลูกถ่ายจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อผู้รับอวัยวะ

4. หลีกเลี่ยงการทานยานอกจากที่แพทย์สั่ง

ผู้ป่วยโรคตับแข็งไม่สามารถรักษาหายขาดได้ จึงต้องมีการทานยาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้อาการป่วยนั้นคงที่ ซึ่งการทานยารักษาโรคตับแข็งนั้นก็มีจำนวนมากอยู่แล้วในแต่ละวัน ดังนั้น ผู้ป่วยโรคตับแข็งควรหลีกเลี่ยงการทานยานอกเหนือจากที่แพทย์สั่ง เพราะการทานยาจำนวนมากอาจจะทำให้ตับเสียหายมากกว่าเดิม

เพียงแค่ดูแลร่างกายตัวเองตามขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้ คุณก็จะได้สุขภาพที่แข็งแรงและห่างไกลจากโรค

สอบถาม